เพื่อนแฮรี่ พอตเตอรื
การท่องเที่ยว
แหล่งการท่องเทียวต่างๆมากมาย
วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558
วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558
10 อันดับเมืองน่าเที่ยวสวยที่สุดในเมืองไทย
อันดับ 1 กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงเล็กๆ แห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางในฝันของคนทั่วโลก อาจเป็นเพราะวัฒนธรรมอันงดงาม ความมีชีวิตชีวาที่ยากจะหาใดเปรียบ หรืออาจเป็นเพราะกิจกรรมสุดหฤหรรษ์ที่แฝงตัวอยู่ทุกย่างก้าว แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากรุงเทพมหานคร ช่างเต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหลเฉพาะตัวที่โดนใจหลายต่อหลายคน และพิสูจน์ได้จากการถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองน่าเที่ยวที่สุดในโลกอยู่เสมอ

อันดับ 2 จังหวัดเชียงใหม่ เมืองท่องเที่ยวแห่งดินแดนภาคเหนือ พร้อมพรั่งไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรม จึงเป็นที่นิยมชวนให้ไปแอ่วเป็นอย่างมาก ใครได้ไปเยือนก็ต่างติดใจ และหลงรักเชียงใหม่กันแทบทุกคน เพราะเป็นจังหวัดสุดฮิตที่ไม่เคยตกอันดับไปจากใจนักท่องเที่ยว หากนึกอยากจะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง เชียงใหม่ จะถูกนึกถึงเป็นรายชื่อต้นๆ อยู่เสมอ
อันดับ 3 จังหวัดภูเก็ต เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เป็นเกาะเดียวที่มีฐานะเป็นจังหวัด ภูเก็ตได้รับสมญานามว่า มุกงามของไทย เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงมาแต่โบราณ อาคารในตัวเมืองภูเก็ตส่วนมากเป็นตึกสมัยเก่าแบบยุโรป เป็นเกาะที่สวยงาม มีชายทะเลขุนเขาสวยงาม เหมาะแก่การท่องเที่ยวอย่างยิ่ง

อันดับ 4 จังหวัดกาญจนบุรี ดินแดนที่มีหน้าบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาตลอดทุกยุคสมัย และนักท่องเที่ยวน้อยคนนักที่จะไม่เคยเดินทางมาสัมผัสกับดินแดนแห่งนี้ ปัจจุบันกาญจนบุรีก็ยังคงมีมนต์เสน่ห์อยู่ไม่เสื่อมคลาย ด้วยความสมบูรณ์ของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ ประเพณี และวิถีชีวิตชุมชนที่หลากหลาย รวมถึงร่องรอยประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 บทเรียนราคาแพงจากความโหดร้ายของสงคราม อันเป็นที่มาของสะพานข้ามแม่น้ำแคว และทางรถไฟสายมรณะที่โด่งดังไปทั่วโลก

อันดับ 5 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซุกซ่อนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าอัศจรรย์ใจไว้มากมาย ประกอบด้วยโบราณสถานสำคัญหลายแห่ง นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเที่ยวได้หลายวิธีทั้งการนั่งรถราง นั่งช้าง ปั่นจักรยาน ชมเมืองมรดกโลก ที่เป็นเมืองอู่ข้าว อู่น้ำ มีแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสายเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตและก่อเกิดเป็นสายน้ำแห่งอารยธรรมที่ไหลผ่านอดีตกาลนำความภาคภูมิใจสู่ลูกหลานไทยในปัจจุบัน

อันดับ 6 จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมืองแห่งคนดีที่มีคำขวัญว่า "เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ" แค่เพียงคำขวัญก็บ่งบอกได้ถึงแหล่งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แหล่งอาหารที่มีความอร่อยขึ้นชื่อ อีกทั้งวัฒนธรรมอันดีงามที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน จึงเหมาะแก่การเป็นจังหวัดท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

อันดับ 7 จังหวัดบุรีรัมย์ "เมืองปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ ผ้าไหมสวย รวยวัฒนธรรม"คือคำขวัญประจำจังหวัดบุรีรัมย์ ที่แสดงความมีเอกลักษณ์ของจังหวัดนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะเมืองบุรีรัมย์แห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรขอมมาก่อน จึงมีปราสาทหินกว่า 60 แห่ง และ ปราสาทหินพนมรุ้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากของจังหวัดนี้

อันดับ 8 จังหวัดสุโขทัย อดีตมหานครอันรุ่งเรือง เมืองศูนย์กลางการค้าการปกครองแห่งราชอาณาจักรสุโขทัยเมืองต้นกำเนิดศิลปวัฒนธรรมอันอบอวลไปด้วยกลิ่นอายมากมายของความหลากหลายทางศิลปะทั้งงานหัตถศิลป์ หัตถกรรม พุทธศิลป์ สถาปัตยกรรมอันงดงามที่ยังทรงคุณค่าเป็นทั้งมรดกโลกและเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวอันสำคัญของเมืองไทย แม้วันเวลาจะผ่านมากว่า 700 ปี

อันดับ 9 จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ชื่อว่าเป็น "เมืองสามหมอก" เนื่องจากเป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน อากาศเย็นและมีหมอกปกคลุมตลอดทั้ง 3 ฤดูของปี มีป่าไม้หนาแน่น ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทิวทัศน์สวยงาม มีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม และมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติมากมาย นับเป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญอีกจังหวัดหนึ่งของภูมิภาคและของประเทศ

อันดับ 10 จังหวัดเชียงราย ช่วงฤดูหนาวเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเดินทางไปท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย บรรยากาศตามดอยต่างๆ จะหนาวเย็นสดชื่น โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวย่านดอยตุง ดอยแม่สลอง ภูชี้ฟ้า ผาตั้ง ยามเช้ามีโอกาสเห็นทะเลหมอกที่สวยงาม

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558
วิหารพระมงคลบพิตร
วิหารพระมงคลบพิตร ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของวัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นที่ประดิษฐานพระมงคลบพิตร พระพุทธรูปบุสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย มีขนาดหน้าตักกว้าง 9.55 เมตรและสูง 12.45 เมตร นับเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่องค์หนึ่งในประเทศไทย ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างในสมัยใด สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นระหว่าง สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมโปรดเกล้าฯให้ย้ายจากทิศตะวันออกนอกพระราชวังมาไว้ทางด้านทิศตะวันตกที่ประดิษฐานอยู่ในปัจจุบันและโปรดเกล้าฯให้ก่อมณฑปสวมไว้
ทว่าในสมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ เกิดฟ้าผ่ายอดมณฑปพระมงคลบพิตรเกิดไฟไหม้ทำให้ส่วนบนขององค์พระมงคลบพิตรเสียหายจึงโปรดเกล้าฯให้ซ่อมแซมใหม่ แปลงหลังคายอดมณฑปเป็นมหาวิหารและต่อพระเศียรพระมงคลบพิตรในสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ และในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 วิหารพระมงคลบพิตรถูกข้าศึกเผาทำลายจนเสียหาย รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้การปฏิสังขรณ์ใหม่ซึ่งยังคงเค้าความเป็นพระพุทธรูปสมัยอยุธยา และสามารถเป็นแบบอย่างของพระพุทธรูปสมัยอยุธยาตอนกลางได้อย่างดี
สำหรับบริเวณข้างวิหารพระมงคลบพิตรทางด้านทิศตะวันออกแต่เดิมเป็นสนามหลวง ใช้เป็นที่สำหรับสร้างพระเมรุพระบรมศพของพระมหากษัตริย์และเจ้านายเช่นเดียวกับท้องสนามหลวงของกรุงเทพฯ
วิหารพระมงคลบพิตร เปิดให้เข้าชมในวันธรรมดาตั้งแต่เวลา 08.00-16.30 วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เปิดเวลา 08.00-17.00 น. นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมวัดพระศรีสรรญเพชญ์ หรือจะเลือกชมวัดทั้งสองด้วยการขี่ช้างชมวัด บริการดีๆ จากวังช้างอยุธยา แลเพนียด ก็ได้เช่นกัน
น้ำตกคลีตี้
น้ำตกคลีตี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร อำเภอสังขละบุรี คำว่า “คลีตี้” เป็นภาษากระเหรี่ยงที่แปลว่า “เสือโทน” น้ำตกคลีตี้มีต้นน้ำอยู่บนยอดเขาดีกะใกล้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร การเดินทางเข้าไปยังน้ำตกคลีตี้บนค่อนข้างจะลำบาก ต้องใช้เวลาเดินเท้าไปปรามาณ 2 วันจากบ้านกระเหรี่ยงคลีตี้ และในการเดินทางแต่ละครั้งจะต้องมีลูกหาบและคนนำทาง ส่วนน้ำตกคลีตี้ล่างตั้งอยู่เหนือทะเลสาบแควใหญ่บริเวณลำเขางู ใช้เวลาเดินทางโดยเรือจากท่าเรือกระดานหรือท่าเรือหม่องกระแทะไปประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
น้ำตกคลีตี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร อำเภอสังขละบุรี คำว่า “คลีตี้” เป็นภาษากระเหรี่ยงที่แปลว่า “เสือโทน” น้ำตกคลีตี้มีต้นน้ำอยู่บนยอดเขาดีกะใกล้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร การเดินทางเข้าไปยังน้ำตกคลีตี้บนค่อนข้างจะลำบาก ต้องใช้เวลาเดินเท้าไปปรามาณ 2 วันจากบ้านกระเหรี่ยงคลีตี้ และในการเดินทางแต่ละครั้งจะต้องมีลูกหาบและคนนำทาง ส่วนน้ำตกคลีตี้ล่างตั้งอยู่เหนือทะเลสาบแควใหญ่บริเวณลำเขางู ใช้เวลาเดินทางโดยเรือจากท่าเรือกระดานหรือท่าเรือหม่องกระแทะไปประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
จุดชมวิวภูค้อ
"จุดชมวิวภูค้อ" ได้ชื่อว่าเป็นจุดชมทัศนียภาพของทิวทัศน์ที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง อยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวที่มีพื้นที่ครอบคลุม 3 อำเภอของจังหวัดเพชรบูรณ์คือ อำเภอหล่มเก่า อำเภอหล่มสักและ อำเภอน้ำหนาว กับอำเภอคอนสาร ของจังหวัดชัยภูมิ เป็นอุทยานแห่งชาติที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย โดยเฉพาะที่ "จุดชมวิวภูค้อ" ที่ตั้งอยู่บริเวณ กม. 46 ของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 (หล่มสัก-ชุมแพ) โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นอยู่ในยามเช้าเคล้ากับสายแห่งทะเลหมอกหมอก สามารถมองเห็นผืนป่าสวนสนภูกุ่มข้าวสลับกับป่าดงดิบ โดยมีฉากหลังเป็นภูกระดึงและภูผาจิตสร้างมนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติอย่างลงตัว
นักท่องเที่ยวสามารถนอนค้างแรม ณ.จุดกางเต็นท์ ที่อุทยานแห่งชาติน้ำหนาวได้เตรียมไว้บริการ เป็นลานกางเต็นท์ขนาดใหญ่ 4 ลานบนพื้นที่ราบกว้าง พร้อมห้องน้ำอำนวยความสะดวก แวดล้อมไปด้วยป่าเขาเขียวขจี ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติและสัมผัสอากาศอันหนาวเย็นแสนบริสุทธิ์ในยามค่ำคืน พร่างพรายด้วยแสงดาวระยิบระยับ ก่อนจะตื่นเช้าไปชมวิวทะเลหมอกตัดกับแสงแรกของดวงอาทิตย์ที่จุดชมวิวภูค้อ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดกางเต็นท์ประมาณ 5 กม. นอกจากนี้ทางอุทยานแห่งชาติยังได้จัดทำเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย
อุทยานฯ น้ำหนาว มีค้าสวัสดิการ ร้านอาหาร ร้านขายของอีก 4-5 ร้าน ให้บริการสำหรับท่านที่ไม่ได้เตรียมอุปกรณ์แคมปิ้งมาด้วย ส่วนอาคารที่ทำการของอุทยานฯ ก็มีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก ให้ข้อมูลการท่องเที่ยว แนะนำการเข้าพัก การชมวิว ตลอดจนดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวอย่างดี และยังให้บริการเช่าเต็นท์นอน พร้อมอุปกรณ์เครื่องนอน สำหรับผู้ที่ไม่ได้เตรียมอุปกรณ์มาด้วย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่ออุทยานแห่งชาติน้ำหนาว โทรศัพท์ 056-810724 , 081-9626236 สำหรับการเดินทาง จากกรุงเทพฯ ไปตาม ถนนพหลโยธิน มุ่งหน้าสู่ จังหวัดสระบุรี แล้ว ขับตรงไปทางจังหวัดลพบุรี ประมาณ 16 กิโลเมตรจึงเลี้ยวขวาไป จังหวัดเพชรบูรณ์ แล้วตรงไป อ.หล่มเก่า ประมาณ 261 กิโลเมตร ก็จะถึง 4 แยก อนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมือง จากนั้น เลี้ยวขวาเข้าถนนหมายเลข 12 ไป อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร
รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว :
ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปี 2532 แรกเริ่มใช้ชื่ออุทยานแห่งชาติหาดทรายรี ต่อมาได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2542 ครอบคลุมพื้นที่ 198,125 ไร่ ตั้งแต่เกาะจระเข้ในเขตอำเภอปะทิวจดเกาะง่ามใหญ่ เกาะง่ามน้อย เกาะเสม็ด เกาะมะพร้าว เกาะมาตรา เกาะทองหลาง เกาะรังกาจิว บริเวณอ่าวทุ่งคาในเขตอำเภอเมือง และหมู่เกาะในเขตอำเภอสวี อำเภอทุ่งตะโก จนถึงอ่าวท้องครกในเขตอำเภอหลังสวน
พื้นที่อุทยานฯ ครอบคลุมทั้งในส่วนของป่าชายเลน ภูเขา ชายหาด ท้องทะเล และหมู่เกาะจึงหลากหลายไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่น่าสนใจ
บริเวณที่ทำการอุทยานฯ ตั้งอยู่กลางป่าชายเลน มีอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเชื่อมด้วยสะพานไม้ทอดยาวและยังเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเลียบคลองเข้าไปในป่าชายเลนซึ่งมีหลายเส้นทาง เหมาะสำหรับศึกษาพันธุ์ไม้และสัตว์ป่าในป่าชายเลน หรือจะนั่งเรือชมสภาพป่าชายเลนก็ได้
อุทยานฯ มีชายหาดทอดยาวกว่าร้อยกิโลเมตร ครอบคลุมชายฝั่งทะเลเกือบครึ่งหนึ่งของความยาวทั้งหมดของจังหวัดชุมพร มีชายหาดสวยงามน่าเที่ยวตามแนวชายฝั่งหลายแห่ง เช่น อ่าวทุ่งมะขามในและอ่าวทุ่งมะขามนอก ซึ่งยาวกว่า 4 กิโลเมตร หาดอรุโณทัย ที่ทอดยาวประมาณ 6 กิโลเมตร ในเขตอำเภอทุ่งตะโก นอกจากนี้พื้นที่อุทยานฯ ยังครอบคลุมไปจนจดหาดทรายรีอันเป็นที่ตั้งศาลกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์และจุดชมวิวเขาเจ้าเมือง ซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของหมู่เกาะกลางท้องทะเลชุมพรได้ชัดเจน
ส่วนพื้นที่ทางทะเลประกอบด้วยหมู่เกาะกว่า 40 เกาะ โดยเฉพาะบางเกาะมีจุดดำน้ำและหาดทรายเม็ดละเอียด น่าพักผ่อน เช่น เกาะจระเข้ อยู่ทางตอนเหนือสุดของพื้นที่อุทยานฯ ตามชายหาดจะมีก้อนหินกลมมนเป็นจำนวนมาก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)